ฝนตกเป็นสิ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะเรื่องของฝนฟ้าอากาศเป็นเรื่องธรรมชาติที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากเปียกฝนในช่วงฤดูฝน รู้หรือไม่ว่ารถยนต์เองก็เช่นกัน จริงอยู่ที่ว่ามีรถยนต์เพื่อใช้ขับบังแดดบังฝนได้แต่ถึงอย่างนั้นการปล่อยให้รถโดนฝนแล้วไม่ล้างทำความสะอาดก็ไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน เนื่องจากฝนเป็นสิ่งที่สามารถส่งผลต่อสีตัวถังได้โดยตรงหากไม่ล้างรถหน้าฝน
5 เหตุผลที่คุณควรล้างรถหน้าฝนเป็นประจำ สิ่งที่หลายคนมองข้าม
ล้างรถหน้าฝน เป็นเรื่องที่เชื่อได้เลยว่าหลายคนมองข้าม เพราะคิดว่าฝนช่วยชะล้างสิ่งสกปรกให้รถได้ แต่หากไม่ล้างรถสิ่งที่จะส่งผลโดยตรงก็คือสีตัวถัง
เหตุผลที่คุณควรล้างรถหน้าฝนบ่อย ๆ
เข้าสู่ช่วงหน้าฝนกันแล้ว ปัญหาที่คนรักรถหลีกเลี่ยงไม่ได้และเจอกันบ่อย ๆ ก็คือเรื่องของรถที่เลอะเทอะ โดยเฉพาะเมื่อล้างรถแล้วเชื่อเถอะว่าไม่มีใครอยากให้รถเลอะอีก ทั้งนี้แม้ฝนจะทำให้รถเลอะแต่ก็ทำให้หลายคนคิดว่าน้ำฝนจะสามารถช่วยชะล้างสิ่งสกปรกออกจากรถได้ด้วย เพราะเพียงรถโดนฝนคราบสกปรกที่ติดอยู่ก็จะหลุด เมื่อเป็นแบบนี้ก็ทำให้คนไม่น้อยเลยเลือกที่จะไม่ล้างรถในหน้าฝน
อย่างไรก็ตามผู้คนมากมายอาจจะยังไม่ทราบว่า ความจริงแล้วแม้รถจะโดนฝนก็ใช่ว่าจะช่วยให้รถสะอาด แถมในทางกลับกันฝนอาจจะส่งผลกระทบต่อรถตามมาได้มากมายแบบที่ไม่คาดคิดเลยด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ว่าทำไม การล้างรถหน้าฝนถึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย แล้วการไม่ล้างรถในหน้าฝนส่งผลกระทบต่อรถอย่างไรบ้าง มาทำความเข้าใจกัน
1. น้ำฝนส่งผลเสียกับสีรถโดยตรง
คนส่วนใหญ่อาจจะไม่ทราบกันว่าจริง ๆ แล้วน้ำฝนมีฤทธิ์กรดอ่อน บวกกับการที่ทุกวันนี้มีมลพิษทางอากาศเกิดขึ้นมากมาย จึงส่งผลกระทบทำให้น้ำฝนมีความเป็นด่างมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มลพิษสูง เมื่อเป็นเช่นนี้หากว่าฝนตกก็ทำให้ฝนกลายเป็นฝนกรด แน่นอนว่าหากรถของเราโดนฝนที่เป็นกรด สิ่งที่จะตามมาก็คงหนีไม่พ้นรถที่โดนกัดกร่อนจากฝน ทำให้สีดูหมอง ไม่สดใส ไม่เงา และเกิดสนิมได้ง่ายขึ้นด้วย ซึ่งวิธีการที่ช่วยได้ ก็คือ การล้างรถและการเคลือบสีรถยนต์
2. คราบน้ำทำให้เกิดรอยด่างบนตัวถัง
น้ำฝนไม่เพียงจะเป็นตัวการที่ส่งผลกระทบต่อสีของตัวรถเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดรอยด่างบนตัวถังด้วย เนื่องจากว่าหลังจากที่ฝนหยุดตกแล้วมักจะมีคราบน้ำต่าง ๆ ติดอยู่บนตัวถังเสมอ โดยคราบเหล่านี้ถือว่าเป็นแหล่งสะสมสิ่งสกปรกชั้นดีเลย นอกจากนั้นแล้วยังมีคราบดินโคลนต่าง ๆ ที่ติดรถอยู่ด้วย หากไม่ได้มีการล้างรถแน่นอนว่าคราบเหล่านี้ก็จะติดกับตัวรถไปเรื่อย ๆ จนส่งผลต่อตัวถัง ดังนั้นจึงควรล้างรถทุก 7-10 วัน
3. เสี่ยงต่อการเกิดสนิมในส่วนต่าง ๆ
การที่รถโดนฝนจากการขับรถฝ่าฝน หรือการจอดรถตากฝนเอาไว้ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความชื้นกับตัวรถได้มากกว่าปกติ ความชื้นที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อชิ้นส่วนต่าง ๆ ของรถที่อาจจะเกิดเป็นสนิมขึ้นมาได้ เนื่องจากที่ชิ้นส่วนรถเกิดความชื้นสะสมมากเกินไป ซึ่งวิธีที่การที่จะช่วยลดโอกาสการเกิดสนิทก็คือ การล้างรถและเช็ดรถให้แห้งสนิททุกครั้ง
4. เกิดรอยจากเศษใบไม้
ในช่วงหน้าในนั้น รถไม่ได้เผชิญกับน้ำฝนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ปัญหาใบไม้เกาะรถหรือกิ่งไม้หล่นใส่ก็นับว่าเป็นปัญหาที่เจอได้บ่อยในช่วงหน้าฝน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจอดรถไว้ใต้ต้นไม้ หลายคนอาจคิดว่าการปล่อยเศษใบไม้ไว้คงไม่เป็นไร ไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำอะไรหากโดนฝนใบไม้ก็หลุดออกไปแล้ว ความจริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป ในทางตรงกันข้ามหากปล่อยให้มีเศษใบไม้เกาะไปนาน ๆ ก็จะทิ้งเป็นรอยและคราบที่แห้งกรังเอาไว้ สิ่งที่เองจะเป็นตัวที่มาทำลายผิวรถให้เกิดรอยขึ้นได้นั่นเอง
5. ยิ่งเปียกยิ่งอมฝุ่น
ปัญหาเรื่องของฝุ่นก็เป็นสิ่งที่เชื่อได้เลยว่าคนไม่น้อยเลยมองข้ามอย่างแน่นอน และคิดว่าหากรถมีฝุ่นก็แค่ปล่อยให้โดนฝนจะช่วยทำให้รถสะอาดได้เอง แต่ความจริงแล้วการที่ไม่ยอมล้างรถในช่วงหน้าฝนจะยิ่งเป็นสิ่งที่ทำให้มีฝุ่นและสิ่งสกปรกมาติดรถได้ง่ายมากขึ้น หากปล่อยทิ้งไว้นานไม่ยอมล้างออกก็จะทำให้คราบที่เปื้อนล้างออกได้ยากมากขึ้น เนื่องจากคราบฝังแน่นกับตัวถังรถไปแล้ว
สรุปเรื่องเกี่ยวกับการล้างรถหน้าฝน
การล้างรถหน้าฝนเป็นสิ่งที่หลายคนไม่ให้ความสำคัญและมักจะมองข้ามไป โดยจากที่กล่าวมาคงจะช่วยให้ได้เข้าใจแล้วว่าการไม่ละเลยการล้างรถในหน้าฝนสามารถส่งผลกระทบต่อตัวรถได้อย่างไรบ้าง แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มเลยที่จะยอมแลก ดังนั้นควรหมั่นดูแลและล้างทำความสะอาดรถอยู่เสมอ รวมถึงหากว่าอยากป้องกันไม่ให้รถเกิดรอยหรือคราบได้ง่าย ก็ควรทำการเคลือบสีรถยนต์ของตัวเองเอาไว้ด้วย